ต้น จันทน์หอม ไม้มงคลชั้นสูง
พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๐ โดยวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ วันถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระโกศจันทน์ พระหีบจันทน์ และท่อนฟืนไม้จันทน์ นับเป็นสิ่งสำคัญในการพระราชพิธี ซึ่งล้วนทำจากไม้จันทน์หอมทั้งสิ้นไม้จันทน์หอมเป็นไม้มีค่าที่หายากชนิดหนึ่ง จัดเป็นไม้มงคลชั้นสูง ใช้ในพระราชประเพณีตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชประเพณีเกี่ยวกับพระบรมศพ โดยนำเอาไม้จันทน์หอมที่ยืนต้นตายเองตามธรรมชาติ ซึ่งเนื้อไม้จะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ มาสร้างพระลองประดับพระโกศพระบรมศพ ตลอดจนใช้ทำฟืน และดอกไม้จันทน์ในพิธีพระราชทานเพลิงพระบรมศพ (ณัฏฐภัทร, ๒๕๓๙)
ไม้จันทน์หอมเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เนื้อไม้แข็ง ละเอียด กระพี้สีน้ำตาลอ่อน แก่นสีน้ำตาลเข้ม
ไสกบ ตบแต่งง่าย ขัดเป็นเงาสวยงามมาก นิยมใช้สร้างบ้านหรือตำหนักของเจ้านายสมัยก่อน ทั้งโครงสร้างบ้านทั่วไปภายในและภายนอก โดยเฉพาะพื้นบ้านจะนิยมกันมาก นอกจากนี้แล้วไม้จันทน์หอมที่ยืนต้นตายเองตามธรรมชาติเนื้อไม้จะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ จึงนิยมเก็บมาเป็นไม้หอมที่มีราคาสูงมาก เพื่อนำมากลั่นเป็นน้ำหอม ใช้ทำเครื่องหอม ธูปหอม ตลอดจนเป็นยาสมุนไพรได้อีกด้วยไม้จันทน์หอม - มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mansonia gagei Drumm. วงศ์ STERCULIACEAE และมีชื่ออื่นๆ ที่เรียกกันทั่วไปว่า จันทน์ จันทน์ชะมด จันทน์ขาวหรือจันทน์พม่า (เต็ม, ๒๕๒๓)ไม้จันทน์หอมเป็นไม้คนละชนิดกับจัน หรือจันอิน-จันโอ (Diospyros decandra Lour.) และเป็นคนละชนิดกับไม้กฤษณา (Aquilaria malaccensis) ซึ่งบางท่านก็เรียกว่าไม้หอมเช่นกันไม้จันทน์หอมเป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ ๓๐ เมตร พบขึ้นในป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ขึ้นกระจัดกระจายอยู่ตามภูเขาหินปูน ในจังหวัดนครราชสีมา สระบุรี ระนอง และประจวบคีรีขันธ์ ในต่างประเทศพบในพม่าและอินเดีย (เต็ม, ๒๕๒๓)
ลำต้น-มีลักษณะเปลา ตรง เปลือกสีเทาอมขาว หรือเทาอมน้ำตาล แตกเป็นร่อง เปลือกชั้นในเมื่อถากใหม่ๆ จะมีสีขาว ทิ้งไว้แห้งจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล กิ่งอ่อนมีขนประปราย
ใบ -เป็นชนิดใบเดี่ยว ติดเรียงสลับ ทรงใบรูปมนแกมรูปหอก แขนงใบออกสีดำ ท้องใบมีขนสีอ่อนๆ ประปราย หลังใบเกลี้ยง ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อยห่างๆ ขนาดใบกว้าง ๓-๖ เซนติเมตร ยาว ๘-๑๔ เซนติเมตร โคนใบตัดหรือเว้าเข้าเล็กน้อย และจะเบี้ยวเล็กน้อย ปลายใบสอบแหลมทู่ๆ เนื้อใบค่อนข้างหนา ใบอ่อนมีขนประปราย ใบแห้งออกสีเขียวอ่อนๆ เส้นใบออกจากจุดโคนใบ ๓ เส้น เส้นแขนงใบมี ๔-๖ คู่ ก้านใบยาว ๕-๑๐ มิลลิเมตร มีขนประปราย และจะออกสีดำคล้ำเมื่อใบแห้ง
ดอก-เป็นดอกขนาดเล็ก สีเหลืองอ่อนๆ หรือสีขาว ออกรวมกันเป็นช่อตามปลายกิ่งและตามง่ามใบใกล้ๆ ปลายกิ่ง ช่อยาวประมาณ ๑๕ เซนติเมตร โดยกลีบฐานดอกติดกันเป็นรูปเหยือก ปลายแยกเป็นแฉกแหลมๆ ๕ แฉก ทั้งหมดยาว ๑๐-๑๓ มิลลิเมตร เกสรตัวผู้มี ๑๐ อัน และในจำนวนนี้จะมีเกสรตัวผู้เทียมเสีย ๕ อัน รังไข่มี ๕ พู รวมเบียดกันเป็นรูปเหยือกน้ำ มีขนคลุมแน่น แต่ละพูเป็นอิสระแก่กัน และต่างก็มีหลอดท่อรังไข่ ๑ หลอด ในแต่ละพูมีช่อเดียว และมีไข่อ่อน ๑ หน่วย ออกดอกระหว่างเดือนสิงหาคมถึงกันยายน
ผล-เป็นผลประเภทผลแห้งแก่แล้วไม่แตก มีปีกเดียว ผลอ่อนมีสีเขียวเมื่อแก่มีสีเหลืองอ่อนจนเป็นสีน้ำตาล ผลมักติดกันเป็นคู่ๆ แต่ไม่ติดเป็นเนื้อเดียวกัน ทรงผลรูปกระสวยเล็กๆ กว้าง ๕-๗ มิลลิเมตร ยาว ๑๐-๑๕ มิลลิเมตร ส่วนปลายของผลมีครีบเป็นปีกรูปสามเหลี่ยม ๑ ปีก กว้าง ๑-๑.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕-๓ เซนติเมตร ก้านผลยาวประมาณ ๕ มิลลิเมตร มีจำนวนผลเฉลี่ยประมาณ ๒,๖๔๓ ผล/กิโลกรัม และผลจะแก่ประมาณเดือนธันวาคมถึงมกราคม
เมล็ด-มีเปลือกบางๆ หุ้มภายในผล ผลหนึ่งมี ๑ เมล็ด จำนวนเมล็ดประมาณ ๓,๕๖๕ เมล็ด/กิโลกรัม หรือน้ำหนักของเมล็ดจำนวน ๑,๐๐๐ เมล็ด เท่ากับ ๒๘๐.๐๕ กรัม ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเก็บเมล็ดประมาณเดือนมกราคม (คงศักดิ์, ๒๕๕๐)
ติดตามอ่านบทความสาระเกี่ยวกับต้นไม้อื่นๆได้ที่ Writer-Kaew
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น